นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เกิดวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2492 เป็นบุตรของ นายประมวล สภาวสุ อดีตรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคุณหญิงศรีประพาฬ สภาวสุ นายกอร์ปศักดิ์เป็นบุตรคนโต มีพี่น้องอีก 4 คนคือ นางศิริณี สภาวสุ , นายกุมพล สภาวสุ , นางจารุวรรณ กัลยางกูร และนายประโภชณ์ สภาวสุ
นายกอร์ปศักดิ์ สำเร็จการศึกษาระดับมัธยม จากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล เมื่อ พ.ศ. 2509 ระดับปริญญาตรี ด้านวิศวกรรมศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียโพลีเทคนิค ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2514 และได้รับ ประกาศนียบัตรการอบรมบริหารชั้นสูง จาก มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2534
นายกอร์ปศักดิ์ สมรสกับ นางชูศรี สภาวสุ มีบุตรชาย 2 คน คือ นายวุฒินันท์ สภาวสุ และ นายวรวัฒน์ สภาวสุ
นายกอร์ปศักดิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครราชสีมาหลายสมัย และเคยดำรงตำแหน่งเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย
ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2544 นายกอร์ปศักดิ์ได้ลงในระบบบัญชีรายชื่อและได้เป็น ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อของพรรค และในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2548 นายกอร์ปศักดิ์ได้สมัคร ส.ส. ในพื้นที่เขตที่ 5 กรุงเทพมหานคร ซึ่งประกอบด้วยด้วยเขตปทุมวัน แต่นายกอร์ปศักดิ์ไม่ได้รับการเลือกตั้ง หลังจากนั้น นายกอร์ปศักดิ์ได้เขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม ซึ่งส่วนมากเป็นหนังสือเกี่ยวกับ การเปิดโปงการทุจริต ในวงการการเมืองหลายเล่ม เช่น ใครว่าคนรวยไม่โกง เป็นต้น
ในช่วงการรณรงค์เลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 นายกอร์ปศักดิ์ ได้รับการแต่งตั้งเป็น ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนวาระประชาชน
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ตามข้อบังคับพรรค และ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลงานด้านเศรษฐกิจ ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 ได้ถูกปรับให้เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จากกรณีชุมชนพอเพียง แทนนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ที่ลาออกจากตำแหน่ง และในเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน ได้ขอลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว เพื่อไปเตรียมการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2554